ขับเคลื่อนคุณธรรม ต้องทำเป็นขบวนการ

บทเรียนจากการศึกษาดูงานมูลนิธิพุทธฉือจี้ ประเทศไต้หวัน

............................................................................

       

          มูลนิธิพุทธฉือจี้ ถือเป็นองค์กรการกุศลองค์กรหนึ่งที่ได้รับการยอมรับทั่วโลก เพราะเข้าไปมีบทบาทในการช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติทางธรรมชาติ และความยากจนในประเทศต่างๆ อยู่เสมอ ในประเทศไทยเราเอง ก็เคยได้รับการช่วยเหลือในช่วงที่เกิดเหตุการณ์สึนามิ ปลายปี 2546 และได้เข้ามาจัดตั้งโรงเรียนตามแนวพุทธที่จังหวัดเชียงราย เมื่อหลายปีก่อน

 

001

 

          มูลนิธินี้ ก่อกำเนิดขึ้นมาจากผู้หญิงตัวเล็กๆคนหนึ่ง ที่เข้ามาบวชในพระพุทธศาสนาเป็นภิกษุณีและได้ฉายานามว่าเจิ้งเหยียน เมื่อบวชแล้วก็ได้ศึกษาพระธรรมจนแตกฉาน จนได้ค้นพบความจริงในหลักธรรมคือ พรหมวิหารสี่  จากการที่ได้พบเห็นคนทุกข์ยากลำบาก ท่านก็ได้เริ่มหาเงินเพื่อไปช่วยเหลือคนตกทุกข์ได้ยาก ด้วยการเย็บรองเท้าขาย เพื่อเก็บเงินไปช่วยเหลือชาวบ้าน จากนั้นก็ออกแสดงธรรมและชักชวนให้กลุ่มแม่บ้าน ได้มาช่วยกันออมเงินในกระบอกไม้ไผ่ เพื่อนำไปช่วยเหลือคนที่เดือดร้อนทุกข์ยาก  ท่านสอนว่า “...ความลำบากของชาวบ้านคือโอกาสที่เราจะได้ทำความดีงาม  คนที่ตกทุกข์ได้ยากนั้น คือ พระโพธิสัตว์ที่จำแลงมาในปางตกทุกข์ หากเราได้ดูแลเขา ก็เหมือนได้ดูแลพระพุทธเจ้า..” คำสอนนี้ได้ถูกปลูกฝังในกลุ่มอาสาสมัครของพุทธฉือจี้ไปทั่วโลก 

          จากนั้นท่านก็ได้พบว่า ชาวบ้านที่ทุกข์ลำบากนั้น ล้วนมีปัญหาสุขภาพทั้งนั้น ภาพที่ท่านเห็นกองเลือดของหญิงที่คลอดลูกหน้าคลินิก เพียงเพราะไม่มีเงินค่ามัดจำคลีนิค 8,000 เหรียญนั้น ได้ก่อประกายให้ท่านได้เริ่มงานที่สองคือ การสร้างโรงพยาบาลขึ้น เพื่อบำบัดรักษาคนป่วย  ด้วยแนวคิดที่ว่า การรักษาคนไข้นั้น คือ การรักษาพยาบาลพระพุทธเจ้า และยกเอารูปที่พระพุทธเจ้าดูแลพระสงฆ์ที่อาพาธมาเป็นภาพวาดขนาดใหญ่ในทุกโรงพยาบาลของฉือจี้ ที่มีอยู่ทั้ง 6 แห่ง ในเวลานั้นทั่วประเทศในไต้หวัน เพื่อเตือนสติทุกคนว่า การดูแลคนไข้นั้น คือ การทำความดีที่หาที่สุดไม่ได้  ดังนั้น ในโรงพยาบาลทุกแห่งจะมีอาสาสมัครที่เข้ามาทำงานให้กับโรงพยาบาลโดยไม่มีค่าตอบแทนใดๆ นับหลายร้อยคนต่อวัน

          เมื่อท่านได้ทำงานกับคนเจ็บป่วย ท่านได้เห็นความสำคัญของการศึกษาอย่างมาก เพราะเห็นว่า คนที่จะไปดูแลคนไข้ คนที่จะเป็นครูอาจารย์ ล้วนต้องเป็นคนที่มีคุณธรรมอย่างสูง และหากสังคมเป็นสังคมที่มีคุณธรรม ปัญหาทางสังคมก็จะลดน้อยลง ดังนั้น ท่านก็จึงริเริ่มสร้างสถานศึกษา จนถึงระดับมหาวิทยาลัยขึ้น โดยการสนับสนุนของผู้คนต่างๆ ทุกระดับทั้งในและต่างประเทศ  จนมหาวิทยาลัยของฉือจี้ เป็นมหาวิทยาลัยที่ผู้คนปรารถนาที่จะเข้ามาเรียนมากที่สุด เป็นอันดับต้นๆของประเทศก็ว่าได้  และยังได้ขยายการจัดตั้งโรงเรียนไปสู่ประเทศต่างๆ เพื่อสร้างและดำเนินการเรียนการสอนที่เน้นปลูกฝังทางจริยธรรมแก่เด็กและเยาวชนอีกด้วย

          นอกจากนี้ ยังขยายงานไปสู่การส่งเสริมวัฒนธรรมมนุษย์ โดยมีสถานีโทรทัศน์ของตนเอง ที่เผยแพร่ความดีงามของคนที่ทำดี  เสนอข่าวสารที่เป็นจริงทั้งเหตุและผล และทางออกต่อสังคม  มีกิจกรรมส่งเสริมทางวัฒนธรรม มีวารสารที่ตีแผ่ไปทั่วโลกเพื่อส่งเสริมคุณธรรม จนได้รับรางวัลระดับชาติมาแล้วหลายครั้ง

 

002

 

          ทั้งหมดที่กล่าวมานี้ เป็นเพราะความมุ่งมั่นของผู้หญิงคนหนึ่งที่มุ่งสอนคนอื่นด้วยหลักของการปฏิบัติโดยไม่รอหรืออ้อนวอนใดๆจากภายนอก    ท่านสอนย้ำตลอดมากว่าห้าสิบปีว่า มนุษย์ทุกคนควรเป็นผู้ให้ เริ่มต้นจากการให้รอยยิ้มดีๆต่อกัน  ต้องรู้จักขอบคุณกันและกัน แม้กระทั่งคนที่ทุกข์ยากก็ให้ขอบคุณเขา เพราะมีคนที่ทุกข์ยาก เราจึงมีโอกาสได้ทำความดี  ต้องรู้จักยกย่องคนอื่น แม้แต่ศพที่ตายแล้ว  ก็สามารถเป็นบรมครูที่ไร้เสียงให้แก่เราได้  และที่สำคัญเราต้องมีเมตตาที่ดีต่อกัน ให้ความรักแก่เพื่อนมนุษย์ทั่วโลก โดยไม่มีศาสนา ความเชื่อใดๆ มาเป็นอุปสรรคขวางกั้น ให้มองคนอื่นเป็นมนุษย์คนหนึ่งเหมือนเรา แล้วเอาใจเขามาใส่ใจเราให้มากที่สุด

          การไปศึกษามูลนิธิพุทธฉือจี้หลายคนคงได้รับอะไรมามากต่อมาก อย่างน้อยก็กระตุ้นเตือนตนเองให้เห็นว่า อุดมการณ์กินได้  หากเรามุ่งมั่นทำจริง โดยไม่ต้องรอคนอื่น  แต่สำหรับผมแล้ว สิ่งที่ได้กลับเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับขบวนการ ซึ่งที่ฉือจี้ ผมมองภาพที่เห็นเป็นขบวนการ  และขบวนการนี้ควรนำมาปรับใช้กับภาคีเครือข่ายทางสังคม เพื่อร่วมกันขับเคลื่อนสังคมคุณธรรมให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้  นั่นก็คือ

          1. ขบวนการต้องมีอุดมการณ์ร่วม  ซึ่งอุดมการณ์ร่วมนี้ มูลนิธิพุทธฉือจี้มีความชัดเจน คือยึดมั่นในหลักของพรหมวิหารสี่  แต่ในขบวนการของบ้านเรา หากมองผ่านขบวนการขับเคลื่อนสมัชชาคุณธรรมแห่งชาติ  เรายังใหม่ต่อการจัดตั้งขบวน เพราะเพิ่งเกิดคณะกรรมการส่งเสริมคุณธรรมแห่งชาติ เกิดอนุกรรมการส่งเสริมคุณธรรมระดับกระทรวงและจังหวัด เพื่อขับเคลื่อนงานด้านคุณธรรม ซึ่งยังต้องใช้เวลาและเงื่อนไขหลายอย่างเพื่อการปรับจูนให้ตรงกัน    

 

003

 

           2. ขบวนการต้องมีทิศทางร่วมที่ชัดเจน ทิศทางของ มูลนิธิพุทธฉือจี้มีความชัดเจนในตัวเอง โดยเริ่มจากการสังคมสงเคราะห์ มาสู่การพัฒนาสุขภาวะ  การพัฒนาการศึกษาและการพัฒนาวัฒนธรรมมนุษย์ 

          3. ขบวนการต้องมีแกนนำหรือผู้นำที่น่าเชื่อถือ จะมากหรือน้อยก็ไม่สำคัญ แต่คนๆนั้น สามารถเป็นบุคคลเชิงสัญลักษณ์ได้  มูลนิธิพุทธฉือจี้มีท่านธรรมาจารย์เจิ้งเหยียนเป็นสัญลักษณ์และมีคณะกรรมการบริหาร 15 คน ซึ่งเป็นบุคคลที่น่าเชื่อถือเป็นกลไกสำคัญ  รวมถึงการมีแกนนำที่คัดเลือกมาจากอาสาสมัคร 20:1 ขึ้นมาเป็นกลไกทำงานทุกระดับ แสดงถึงการมีแกนนำที่มีคุณภาพชัดเจน 

 

004

 

          4. ขบวนการต้องมีสมาชิก ที่เชื่อมโยงเป็นเครือข่าย  มูลนิธิพุทธฉือจี้มีระบบอาสาสมัครที่เข้ามาร่วมงานมากมาย ถูกเก็บข้อมูลด้วยระบบคอมพิวเตอร์  มีคนที่ได้รับการคัดเลือกเป็นอาสาสมัคร ซึ่งต้องผ่านการฝึกอบรม 2 ปี จึงจะมีโอกาสใส่ชุดอาสาสมัคร มูลนิธิพุทธฉือจี้ได้ และคนเหล่านี้ โยงใยกันเป็นเครือข่ายทั้งในและต่างประเทศ มีกิจกรรมที่เข้ามาทำงานร่วมกันอยู่ต่อเนื่อง  

 

005

 

          5. ขบวนการต้องมีการสื่อสาร โฆษนา  มูลนิธิพุทธฉือจี้มีระบบสื่อสารของตนเอง ทั้งโทรทัศน์ วิทยุ  หนังสือพิมพ์  และวารสารสำคัญที่ตีแผ่ทั่วโลก เพื่อมุ่งประชาสัมพันธ์ความดีที่คนทำ  สร้างขวัญกำลังใจให้คนทำความดีต่อเนื่อง ทำให้คนสนใจอยากเข้าร่วมขบวนการอย่างมา

          6. ขบวนการต้องมีต้นแบบความสำเร็จ หรือศูนย์เรียนรู้   ฉือจี้ เป็นตัวอย่างที่ทำให้เราเห็นว่า ความดีงาม ความสำเร็จ สามารถถ่ายทอดสู่กันได้  ข้อมูลความรู้ที่ทำ ต้องมีการบันทึก สรุป  ขยายผล  สร้างให้งานฉือจี้มีพิพิธภัณฑ์ของตนเอง  มีห้องเรียนวิชาต่างๆมากมาย ในศาสตร์และศิลปะแห่งการเป็นมนุษย์ 

 

006

 

          7. ขบวนการต้องมีการสร้างคนรุ่นใหม่ มูลนิธิพุทธฉือจี้มีโรงเรียน มีมหาวิทยาลัยของตนเอง เพื่อสร้างคนในแบบฉบับที่ ฉือจี้ต้องการ  จึงได้คนในแบบที่เขาต้องการอย่างมาก ผู้คนแห่ส่งลูกหลานมาเรียนในโรงเรียนและมหาวิทยาลัยพุทธฉือจี้ 

 

007

 

           8. ขบวนการต้องมีทุนของตนเอง มูลนิธิพุทธฉือจี้มีการจัดระบบทุนที่น่าสนใจ ทางหนึ่งได้มาจากการบริจาคจากผู้คนทุกระดับ   ทางหนึ่งมาจากการจัดการขยะเพื่อรักษาสิ่งแวดล้อม โดยรายได้กว่า 30 % จากโรงงานคัดแยกขยะจะนำมาเป็นรายได้ของมูลนิธิ และค่าใช้จ่ายของสถานีโทรทัศน์ต้าอ้ายของมูลนิธิ  และอีกทางหนึ่งได้มาจากการขายสิ่งของ หนังสือ ที่ระลึกต่างๆ  ซึ่งทำให้งานของ ม.ฉือจี้อยู่ได้  ปัจจัยสำคัญคือรายได้ที่ได้มา ถูกใช้อย่างโปร่งใสตรงกับเจตนารมณ์ของผู้ให้ ฉือจี้จึงอยู่ได้ด้วยตนเอง 

 

008

 

          9. ขบวนการต้องมีสัญลักษณ์  มูลนิธิพุทธฉือจี้มีสัญลักษณ์ของขบวนการ เป็นรูปดอกบัว 8 กลีบ ที่ห่อหุ้มโลก สัญลักษณ์บ่งบอกถึงตัวตนของคนที่จะเข้าร่วมขบวนการ  คนที่คิด ทำคล้ายกันก็จะเข้ามาอยู่ร่วมกัน ทำให้ฉือจี้มีงานครั้งใด คนจะแห่เข้าร่วมงานได้มากขึ้นๆ สร้างให้คนรู้สึกเป็นพวกเดียวกัน โดยไม่แบ่งแยกภาษาศาสนา และลัทธิต่างๆ 

 

009

 

          ผมเสนอเรื่องราวมูลนิธิพุทธฉือจี้มานี้ ไม่ได้หมายความว่า ฉือจี้เป็นองค์กรที่ดีไปหมด ทุกขบวนการมีจุดอ่อนเหมือนกัน แต่เราไปเพื่อค้นหาของดี แล้วเราก็นำมาปรับใช้ในเมืองไทยเรา เรื่องขบวนการ จึงเป็นจุดเน้นสำคัญที่เราควรจะนำมาปรับใช้ได้ และนี้จึงเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญที่เราจะต้องขับเคลื่อนให้ภาคีเครือข่ายทางสังคม ทั้งภาครัฐ  เอกชน สถาบันศาสนา  สื่อมวลชน ชุมชน ประชาสังคม สถานศึกษา  เข้ามามีบทบาท มาร่วมมือกัน อย่างมีเป้าหมายทิศทาง เพื่อนำไปสู่การรณรงค์ ส่งเสริมสังคมไทย ให้เป็นสังคมที่มีคุณธรรม ไม่ทอดทิ้งกันและเป็นสังคมที่มีสำนึกพลเมือง   

 

ยงจิรายุ   อุปเสน

ศูนย์คุณธรรม (องค์การมหาชน)

กระทรวงวัฒนธรรม

ค้นหาหนังสือ