บางครั้ง เราอาจจะเผลอคิดว่า เราโชคดีแล้ว ที่ไม่ได้เกิดในดินแดนที่แห้งแล้งกันดาร หรือในประเทศที่ประสบปัญหาภัยสงคราม หรือภัยพิบัติทางธรรมชาติ แล้วเราก็ภาคภูมิใจว่า เราเกิดในเมืองไทย ที่เป็นเมืองพุทธ เกิดร่วมในพระพุทธศาสนา ได้พบทันกับยุคของมหาราชที่ยิ่งใหญ่ ในใจคนทั้งโลก ได้พบกับทรัพยากรที่มากมาย กว่าดินแดนอื่นๆ ทั้งภัยพิบัติทางธรรมชาติก็มีน้อย
เมื่อเราคิดว่าเราโชคดี ก็อาจทำให้เราเผลอสติ ไม่คิดต่อยอดจากสิ่งที่มี และมองเห็นคุณค่าจากภายนอกว่าสำคัญกว่าสิ่งที่ตนมีอยู่ จนไม่ใส่ใจ ละเลย ปกป้องรักษาทุนความดีที่มีอยู่เดิม ทั้งทรัพยากรธรรมชาติ และวิถีวัฒนธรรมอันดีงาม พอเรามีมากกว่าคนอื่นๆ เราก็สมมติตัวเราเองว่าเราเก่ง เรารวย และเราทันสมัย ในขณะที่คนทั่วไปคร่ำครึ ดักดาน ยากจน ไม่ทันต่อการเปลี่ยนแปลง
แค่เราเพลิดเพลินกับสิ่งที่มีอยู่ข้างหน้า ไม่เห็นคุณค่าจากสิ่งที่เรามีอยู่เดิม ป่าไม้ที่เคยมีอยุ่กว่า 70 % ของประเทศหายไปเหลือไม่ถึง 20% คูคลองที่มากมายพอๆกับเวนิชตะวันตก เหลือเพียงคลองบางสาย โคก หนอง นา ที่ทำมาหากิน กลายเป็นผืนดินแล้ง ไม่มีนำ้ ไม่มีปลา ไม่มีนาข้าว มีแต่แปลงเกษตรเชิงเดี่ยว สัตว์ป่าหลายชนิด เป็นเพียงตำนาน เมื่อเราอยากกิน เราได้กิน ตอนนี้เราอยากกิน ต้องหาเงิน เพื่อเอาเงินไปซื้อกิน เราเคยมีความสุขกับระบบนิเวศที่เราอยู่ ตอนนี้ เราต้องซื้อระบบนิเวศใหม่ๆ พร้อมกับมาตรการความปลอดภัยขั้นสูงสุดให้ตัวเอง
เรามองไปข้างนอกตัวเองมากเกินไป พอๆกับการหลงไหลชื่นชมความทันสมัยในสิ่งที่เรามี โดยเป็นแค่ผู้บริโภคมันตามที่คนอื่นกระตุ้นให้เราอยาก วันนี้ เราจึงต้องหยุดและหยุด เพื่อที่จะคิดใหม่ ทำใหม่จริงๆ ไม่ใช่แค่ตามคนอื่น หรือรอคนอื่นมาช่วยเหลือ ช่วงเวลานี้ จะเป็นเวลาที่ดีที่สุด ที่เราจะได้หยุดทบทวนตัวเราเอง และมองไปข้างหน้า อีกสิบปี ร้อยปีข้างหน้า ลูกหลานเราจะอยู่อย่างไร ไม่คร่ำครวญหาอดีต ไม่หลงอยู่กับความฝัน แต่ทำปัจจุบันให้เป็นฐานของอนาคต
เชื่อว่า ถ้าเราอยากอยู่รอดและอยู่ร่วมอย่างสันติสุข ในโลกใบนี้ เราต้องมีชีวิตที่ไม่ประมาท เป็นชีวิตที่เราเลือกว่าจะตายแบบไหนก็ได้ อยากอยู่อย่างไรก็ได้ ชีวิตนี้เราเลือกได้ คนอื่นแค่ตัวช่วย ตัวเชียร์เท่านั้น
ยงจิรายุ อุปเสน